เพิ่งกลับจากการเดินที่ประเทศนรเวย์ การเดินทางตื่นเต้นตั้งแต่ไปทำวีซ่า เพราะโยมมาลี กับโยมเนตร ห่อข้าวเตรียมเดินทางไปสถานทูตพร้อมเอกสารที่คุณคีธ เตรียมให้อย่างแน่นหนา แต่พระลืมเอกสารที่ตัวเองกรอก ต้องไปนั่งกรอกใหม่ เมื่อกรอกเสร็จ เจ้าหน้าที่ดูแล้ว บอกว่าไม่ต้องทำวีซ่า การเดินทางวันนั้นก็เลยกลายเป็นหาดื่มการแฟในเมือง

วันที่หนึ่ง
ตื่นเต้นครั้งต่อไปเริ่มที่สนามบิน เมื่อเช้าวันที่หก เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผ่านเพราะไม่มีวีซ่า คิดว่าคงไม่ได้ไปเป็นแน่ แต่ไม่ยอมเลิกยืนยัน ว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตบอกมาเอง สุดท้ายความไม่ยอมของพระก็ทำให้ได้ไป โยมที่สะพายเป้ติดตามไปด้วยสี่คน กับพระอีกรูปนึงต่างพากันโล่งใจ
ประเทศนรเวย์เป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก แต่เครื่องบินเก่ามาก ๆ ใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง เมื่อถึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเรียกเข้าไปพบ เพื่อเล่าเรื่องการติดต่อที่เขาทำกับเจ้าหน้าที่สถานทูตให้ฟัง สรุปว่า คราวนี้ไม่ต้องทำวีซ่า แต่คราวหน้าต้องทำ พร้อมถามยิ้ม ๆ ว่า "จะให้ประทับตราเข้าเมืองไม๊" พระก็ว่า "สุดแล้วแต่โยมน๊ะ" เจ้าหน้าทีก็ยิ้ม แล้วพระประทับตราให้
เกือบจะอดฉันข้าว เพราะต้องใช้เวลานานมากในการยืนรอที่แผนกตรวจคนเข้าเมือง เมื่อผ่านไป คุณแม่ของพระชาวนรเวย์(ท่านชินะวังโส)มารับ พร้อมซื้อขนมปังให้รูปละสองห่อใหญ่ ๆ ฉันกันขณะเดินทางไปบ้านของโยม
ดูบ้านเมืองนรเวย์ ไม่ค่อยจะแสดงให้เห็นถึงความร่ำรวยสักเท่าไหร่ อะไร ๆ ก็เล็ก ๆ เก่า ธรรมดา ๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือรถ ผู้คนก็ยิ้มแย้ม แจ่มใส เป็นมิตรดี รูปร่างจะคล้าย ๆ คนอิสาณ เพียงแต่มีผิวขาวเผือก และตาสีแปลก ๆ คืนแรกในนรเวย์จำวัตรบนเกาะข้างข้างเมือง โอสโล บรรยากาศสวยมาก ๆ คุณแม่ของเพราะจัดห้องที่มองเห็นเรืือได้ เพื่อจะได้เห็นเรือสำราญ ที่ผ่านไปผ่านมา คุณแม่น่ารักมาก
วันที่สอง
เข้านอนตั้งแต่ยัังไม่มืด เพราะถ้ารอให้มืด ก็คงไม่ได้นอน ตื่นมาก็สายแล้ว แต่นาฬิกายังไม่ถึงตีห้า ตะวันขึ้นทางด้านเหนือ แล้วก็ตกทางด้านเหนือเหมือนกัน แต่เฉียงไปทางตะวันออก และทางตะวันตก หลังจากอาหารเช้า วันที่ 7 เดินทางไปร่วมงานที่วัด ไทยนรเวย์ เป็นวัดที่สวย และบรรยากาศดีมาก ถ้าอยู่ไกลถนนกว่านี้สักหน่อยจะเข้าขั้น Perfect Monastery
ต้องออกเดินทางไปบนเขาก่อนที่งานจะจบ การเดินทางต้องนั่งรถบัสสามชั่วโมงไปเมือง ลิลิแฮมเมอร์ (เมืองค้อนเล็ก) ต่อแท็กซี่ขึ้นเขาอีกเกือบสองชั่วโมง จากนั้นก็เริ่มเดิน อีกสองชั่วโมงเข้าที่พัก ที่คณะของแม่ชีเคยไปพักมาก่อน ชื่อกระท่อม จามเมอร์ด่อล์บือ (กระท่อมฟูมฟาย) พักที่นั่นคืนนึง ที่พักสบาย เตาทำความร้อน ร้อนจนจะนอนไม่ได้ แม้ใช้ฟืนเพียงเล็กน้อย ห้องส้วมกลิ่นเหนือคำบรรยาย
วันที่สาม
ต่ื่นเช้าคณะโยมที่ตามไปด้วยเริ่มรักษาศีลแปด (หลายคนเริ่มแสดงอาการกังวล เพราะอดแน่ตอนเย็น) เริ่มเดินทางออกจากระท่อมตอนบ่ายสอง การเดินทางไกล มาก เดินไปเรื่อย ๆ ไม่มีเวลาบ่น ผ่านฝน ผ่านลำธาร ไม่มีต้นไม้เพราะภูเขาสูง เฮนริค ชาวนรเวย์ ผู้นำทางล้มสองรอบ เพราะกระเป้หนัก ยี่สิบกว่าโล บูตเปียกกันทุกคน เพราะต้องลุยลำธาร น้ำเชี่ยวหนาวยะเยือก เวลาเดินเหมือนมีก้อนหินอยู่ในรองเท้า ขาแทบจะเก้าไม่ออกเพราะล้าและขัด แต่ในที่สุดก็ ถึงกระท่อมอีกหลัง ชื่อกรอเฮิกบื๊อ (ไม่ทราบว่าแปลว่าอะไร) หลังจากก่อไฟ ย่างรองเจ้า (ในใจคิดว่า ไม่แห้งตายแน่) นั่งสมาธิด้วยกัน สวดเมตตากรณียสูตร ภาษาอังกฤษ ก่อนแยกย้ายเข้านอน
วันที่สี่
เริ่มต้นวันใหม่ด้วย เสียงปลุก จากการกรนของคนข้าง ๆ (คนข้าง ๆ ก็บ่นเช่นกันว่า เสียงอาจารย์กรน) นั่งสมาธิด้วยกันตนหกโมงครึ่ง สวดกรณียเมตสูตร เดินทางต่อเมื่อฉันอาหารเสร็จประมาณบ่ายสอง วันนี้เป็นวันขี้เกียจ เดินกันเล่น ๆ เดินไปต้มกาแฟ ฉันกันไป ใช้เวลา เก้าชั่วโมง จากที่เขาประมาณว่า ห้าชั่วโมง ผ้านเขาสูง เห็นเรนเดียร์ (พาหะนะของซานตาครอส) หมาจิ้งจอก อากาศหลากหลาย ในใจพระคิดแต่ว่า ร้องเท้าต้องไม่เปียก กว่าจะถึง กระท่อม เอ้ลด่อร์บื้อ(กระท่อมผู้สูงอายุ) ก็เกือบจะสี่ทุ่ม นั่งสมาธิด้วยกัน แล้้วก็เริ่มเล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิต ของแต่ละคน แต่ไม่ครบเพราะเริ่มจะดึก แต่กระนั้นก็ยัังไม่มืด แยกย้ายเข้าพัก
วันที่ห้า-หก
พักระท่อม เอ้ลด่อร์บื้อสองคืน นั่งสมาธิ สวดมนต์ เล่าประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน ที่ประทับใจมาก ๆ ก็ตรงที่ เขามีอาหารไว้ให้เราเยอะแยะ ในห้องเก็บอาหาร ใครอยากได้ก็ไปหยิบเอา แล้วก็เขียนว่าเราเอาอะไรไปบ้าง พร้อมกับจ่ายเงินใส่ซองตามนั้น คิดว่าถ้าเป็นเมืองไทยบ้านเรา... ของหมด แต่ไม่มีตังค์ อีกอย่างก็คือ ห้องส้วม กลิ่นไม่ต้องให้บรรยาย เห็นทุกชิ้นที่ออกไปจากเรา อึดอัด แต่จำเป็นเพราะไม่มีทีอื่นดีกว่า ยุงเยอะมาก ๆ ไม่ต่างจากเมืองไทย
วันที่เจ็ด-แปด
ออกเดินทางหลังอาหาร เช่นเคย วันนี้สบาย ๆ เพราะไม่ไกลมาก ระยะทางหก ถึงเก้าชั่วโมง เป็นธรรมดา ที่ตื่นเต้นก็คือ เราหลงทาง แล้วต้องผ่านแม่น้ำ ซึ่งในสายตาของทุกคน เป็นแม่น้ำที่เชี่ยวมาก แต่ต้องลุย กลุ่มแบ่งออกเป็นสามก๊ก หนึ่งลุย สองถอย สามอาจารย์ว่าไงก็จะตาม สามครึ่ง คือผู้บรรยาย( วินเซ่น จอมจ้อ) วินเซ่น บรรยายว่า "เราจะทำกันไงดี ถ้าสมุติว่า มีใครถูกน้ำพัด เราคงไม่เจอเค้าอีกเลย" ฟังแล้วน่าตีกระบาล แต่กระนั้นก็สนุกดี
อาจารย์ตกลงว่า... ลุย เพราะ กัส.. ทหารผ่านศึก ฟอกซ์แลนด์ ลุยผ่านทดสอบความเสี่ยงแล้ว ไม่น่าจะเป็นปัญหา อาจารย์ลุยเป็นคนที่สอง น้ำเชี่ยวมาก หินก็ลื่น คนหนุ่มไม่มีปัญหา คนแก่ อาจะลำบากหน่อย ผ่านไปได้ ที่เหลือก็ค่อย ๆ ทะยอย ตาม ๆ กันมา บางคนแสดงอาการออกว่าว่ากลัวมาก เห็นได้จากสีหน้า ในทีสุด กัส เฮนริค และอาจารย์ ต้องลงทุนไปยืน กลางแม่น้ำ ปากก็ให้กำลังใจ แบบสั่น ๆ เพราะหนาวมาก สุดท้ายก็ผ่านกันได้ปลอดภัยทุกคน
ผ่านหมดแล้ว กำลังจะเดินทาง เดริค นักค้นคว้า จากสวีเดน ลืมกางเกง แล้วทำท่าจะกลับไปเอา แค่ผ่านมาได้นี่ ก็บุญแล้วพ่อคุณเอ๋ย...จะกลับไปอีกเหรอ ในที่สุด สรุปว่า ไม่ไป เฮ้อ โล่งใจ กว่าจะถึงกระท่อม บะเย้นโห่เลี้ย(หุบเขาที่มีหมี) เกือบจะสี่ทุ่ม สวดมนต์ ดืมกาแฟ รอบดึก ก่อนแยกย้ายเข้าพัก
อยู่ บะเย้นโห่เลี้ย ฉันอาหารเช้า ขนาดใหญ่ เพราะมีพนักงานของกระท่อมเตรียมให้ กระท่อมนี้ มีคนดูแล เด็ก ๆ เดินผ่าน พระจะมองตาค้าง แล้วถามว่า Dad Dad! What.... is that? พระก็มีหน้าที่ โบกมือ แล้วบอกว่า God Dag ซึ่งแปลว่าสวัสดี
วันที่เก้า-สิบ
เดินทางโค้งๆ เพราะทางตรง มีข่าวว่า เปียกและแฉะมาก ถึง กระท่อมสุดท้าย Ronvassbu (รอนวาสสบือ) อยู่ห้องไต้ดิน เพราะพวกเราต้องการอยู่เป็นกลุ่ม ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเพราะฝนตก ทุ๊กวัน พักที่นี่สองคืน
วันที่สิบเอ็ด-สิบสาม
เดินทางไปเมือง ทรอนด์เฮี่ยม พักอยู่บ้าน ของคุณพ่อ คุณแม่ของ เฮนริค สามวัน ฉันอาหารที่ร้านบางกอกคาเฟ่ และ ที่กลุ่มคนไทยนินต์ ฉันเสร็จตาก็จะปิด เพราะอาหารอร่อยมาก ฝีมือการปรุงโยมแดง และโยมจากพิมายโคราช ถ้าใครไปเมืองนี้ ไม่ควรพลาดเข้าแวะชิม
คุณแม่ คุณพ่อ และน้องชายของเฮนริค กลับมากจากพักร้อน คุยกันจนดึก คุณพ่อคุยเก่งมาก ๆ แต่พ่อตื่นเช้าอาย จึงสังเกตุได้ว่า คุณพ่อคุยเก่งเพราะเบียร์
คุณแม่กับ เฮนริค ขับรถไปส่งที่สนามบิน เดินทางกลับ อังกฤษวันที่ สิบเก้า ยังอยากหลับอยู่ เพราะเพลียมาก แต่เป็นประสบการณ์น่าประทับใจ อีกไม่นาน เฮนริคก็คงจะ สร้างเว็บใซด์ให้เห็นรายละเอียดเรื่องการเดินทางของเรา เดี๋ยวจะเล่ามาอีกที อันนี้บางทีก็ต้องขออภัยถ้ากฏของ Natural Phenomenon (สภาวะธรรม) จะแสดงผลอีก เพราะเท่าที่รอ และติดต่อกันมา ยังไม่มีท่านผู้ใดในคณะ ส่งรูป ตามที่สัญญากันไว้มาแจกจ่ายกัน...
สัญญา (promise) ก็คงจะ "อนิจจา" impermanent เหมือนกับ สัญญา(perception)
No comments:
Post a Comment